วัยพระเยาว์ของ “ท่านหญิงนา”
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระนามเดิม คือ หม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗ ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ (พระอนุชาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง) กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภาพรรณี ทรงมีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ
1. หม่อมเจ้าโสภณภราไดย สวัสดิวัตน์
2. หม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์
3. หม่อมเจ้านนทิยาวัด สวัสดิวัตน์
4. หม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัตน์
5. หม่อมเจ้ายุธิษเฐียร สวัสดิวัตน์ เมื่อทรงพระเยาว์ มีพระนามที่เรียกขานกันภายในพระราชวงศ์ว่า “ท่านหญิงนา” เหตุที่เรียกเช่นนั้น มีที่มาของพระนามด้วยเป็นเด็กที่มีพระวรกายทรงอ้วนพี จึงถูกล้อว่าเป็นเต่า ดังนั้นเมื่อถูกถามว่า “อยากเป็นเต่าทอง” หรือ “เต่านา” ท่านหญิงองค์เล็กได้ตอบว่า “อยากเป็นเต่านา” จึงได้รับการเรียกขานพระนามว่า “ท่านหญิงนา” ตั้งแต่นั้นมา
อภิเษกสมรส
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๓๖ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ชเนศรมหาราชาธิราช จุฬาลงกรณ์นารถวโรรส อุดมยศอุกฤษฐ์ศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติพิสุทธิ์ มหามกุฎราชพงษ์บริพัตร บรมขัตติยมหารัชฎาภิสิญจน์พรรโษทัย มงคลสมัยสมากรสถาวรวรัจฉริยคุณ อดุลยราชกุมาร
เมื่อยังทรงพระเยาว์สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเรียกว่า “ลูกเอียดน้อย” และทรงสนิทเสน่หารักใคร่ห่วงใยพระราชโอรสพระองค์เล็กเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากพระราชพิธีโสกันต์แล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ทรงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนอีตัน ประเทศอังกฤษ เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้วจึงเสด็จเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยที่เมืองวูลฟ์ลิช ประเทศอังกฤษ ด้านวิชาทหารปืนใหญ่ม้า
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษา สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ได้เสด็จนิวัตพระนครในเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ ทรงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทพิเศษของพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถและเมื่อทรงว่างจากพระภารกิจก็เสด็จไปยังวังพญาไทเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เป็นเนืองนิตย์ จึงได้ทรงรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกับพระประยูรญาติ รวมทั้งหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ ซึ่งพระองค์ทรงต้องพระอัธยาศัยมากกว่าองค์อื่น
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ทรงผนวช เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๐ เมื่อทรงผนวชครบไตรมาสแล้วจึงทรงลาสิกขา และในปีต่อมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ทรงมีพระหฤทัยผูกพันในหม่อมเจ้ารำไพพรรณี ใคร่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่จะเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับเป็นพระราชธุระขอหม่อมเจ้ารำไพพรรณีต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส โดยนำเอาพระราชพิธีแบบอย่างการสมรสของชาวตะวันตกบางขั้นตอน คือ การตั้งกระทู้ถาม - ตอบคู่สมรสและทั้งสองพระองค์ทรงลงพระนามในสมุดทะเบียนเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นพยาน และโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการลงพระนาม และนามในสมุดทะเบียนเป็นพยาน
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระในตำแหน่งพระบรมราชินีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชทรงเป็นศูนย์รวมของสตรีทั้งชาติที่จะต้องเป็นผู้นำทุกด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเนืองนิตย์ โดยหัวเมืองฝ่ายเหนือเสด็จถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หัวเมืองฝ่ายใต้เสด็จถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของราษฎร ตลอดจนทรงศึกษาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุในท้องถิ่น ซึ่งทุกแห่งหนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ตามเสด็จพระราชสวามีมิได้ขาด
พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระในตำแหน่งพระบรมราชินีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชทรงเป็นศูนย์รวมของสตรีทั้งชาติที่จะต้องเป็นผู้นำทุกด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเนืองนิตย์ โดยหัวเมืองฝ่ายเหนือเสด็จถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หัวเมืองฝ่ายใต้เสด็จถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของราษฎร ตลอดจนทรงศึกษาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุในท้องถิ่น ซึ่งทุกแห่งหนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ตามเสด็จพระราชสวามีมิได้ขาด
ในการเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสด็จต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เริ่มจากประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา และประเทศเกาหลี ระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ หลังจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๖ เมษายน ถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๓
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการประชวรพระเนตรกำเริบขึ้น นายแพทย์ประจำพระองค์ที่ถวายการรักษาอยู่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา ถวายคำแนะนำว่า ควรจะให้นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ถวายการตรวจรักษา พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ โดยเสด็จผ่านทางประเทศญี่ปุ่นและประเทศแคนาดา
หลังจากที่ทรงรับการผ่าตัดต้อกระจกในพระเนตรซ้ายและประทับพักฟื้นจนพระอาการกระเตื้องขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเริ่มปฏิบัติ พระราชกรณียกิจโดยการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ตามรายการที่รัฐบาลอเมริกาจัดถวาย และได้เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟพิเศษออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เพื่อเยือนประเทศแคนาดา เป็นการส่วนพระองค์หลังจากนั้น จึงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนี่งก่อนเสด็จนิวัตพระนคร
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกหนแห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศ ในการนี้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทุกประการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ได้อย่างเรียบร้อย และงดงามเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระในตำแหน่งพระบรมราชินีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชทรงเป็นศูนย์รวมของสตรีทั้งชาติที่จะต้องเป็นผู้นำทุกด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเนืองนิตย์ โดยหัวเมืองฝ่ายเหนือเสด็จถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หัวเมืองฝ่ายใต้เสด็จถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของราษฎร ตลอดจนทรงศึกษาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุในท้องถิ่น ซึ่งทุกแห่งหนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ตามเสด็จพระราชสวามีมิได้ขาด
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระนามเดิม คือ หม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗ ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ (พระอนุชาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง) กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภาพรรณี ทรงมีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ
1. หม่อมเจ้าโสภณภราไดย สวัสดิวัตน์
2. หม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์
3. หม่อมเจ้านนทิยาวัด สวัสดิวัตน์
4. หม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัตน์
5. หม่อมเจ้ายุธิษเฐียร สวัสดิวัตน์ เมื่อทรงพระเยาว์ มีพระนามที่เรียกขานกันภายในพระราชวงศ์ว่า “ท่านหญิงนา” เหตุที่เรียกเช่นนั้น มีที่มาของพระนามด้วยเป็นเด็กที่มีพระวรกายทรงอ้วนพี จึงถูกล้อว่าเป็นเต่า ดังนั้นเมื่อถูกถามว่า “อยากเป็นเต่าทอง” หรือ “เต่านา” ท่านหญิงองค์เล็กได้ตอบว่า “อยากเป็นเต่านา” จึงได้รับการเรียกขานพระนามว่า “ท่านหญิงนา” ตั้งแต่นั้นมา
อภิเษกสมรส
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๓๖ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ชเนศรมหาราชาธิราช จุฬาลงกรณ์นารถวโรรส อุดมยศอุกฤษฐ์ศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติพิสุทธิ์ มหามกุฎราชพงษ์บริพัตร บรมขัตติยมหารัชฎาภิสิญจน์พรรโษทัย มงคลสมัยสมากรสถาวรวรัจฉริยคุณ อดุลยราชกุมาร
เมื่อยังทรงพระเยาว์สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเรียกว่า “ลูกเอียดน้อย” และทรงสนิทเสน่หารักใคร่ห่วงใยพระราชโอรสพระองค์เล็กเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากพระราชพิธีโสกันต์แล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ทรงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนอีตัน ประเทศอังกฤษ เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้วจึงเสด็จเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยที่เมืองวูลฟ์ลิช ประเทศอังกฤษ ด้านวิชาทหารปืนใหญ่ม้า
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษา สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ได้เสด็จนิวัตพระนครในเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ ทรงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทพิเศษของพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถและเมื่อทรงว่างจากพระภารกิจก็เสด็จไปยังวังพญาไทเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เป็นเนืองนิตย์ จึงได้ทรงรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกับพระประยูรญาติ รวมทั้งหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ ซึ่งพระองค์ทรงต้องพระอัธยาศัยมากกว่าองค์อื่น
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ทรงผนวช เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๐ เมื่อทรงผนวชครบไตรมาสแล้วจึงทรงลาสิกขา และในปีต่อมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ทรงมีพระหฤทัยผูกพันในหม่อมเจ้ารำไพพรรณี ใคร่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่จะเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับเป็นพระราชธุระขอหม่อมเจ้ารำไพพรรณีต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส โดยนำเอาพระราชพิธีแบบอย่างการสมรสของชาวตะวันตกบางขั้นตอน คือ การตั้งกระทู้ถาม - ตอบคู่สมรสและทั้งสองพระองค์ทรงลงพระนามในสมุดทะเบียนเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นพยาน และโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการลงพระนาม และนามในสมุดทะเบียนเป็นพยาน
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระในตำแหน่งพระบรมราชินีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชทรงเป็นศูนย์รวมของสตรีทั้งชาติที่จะต้องเป็นผู้นำทุกด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเนืองนิตย์ โดยหัวเมืองฝ่ายเหนือเสด็จถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หัวเมืองฝ่ายใต้เสด็จถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของราษฎร ตลอดจนทรงศึกษาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุในท้องถิ่น ซึ่งทุกแห่งหนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ตามเสด็จพระราชสวามีมิได้ขาด
พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระในตำแหน่งพระบรมราชินีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชทรงเป็นศูนย์รวมของสตรีทั้งชาติที่จะต้องเป็นผู้นำทุกด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเนืองนิตย์ โดยหัวเมืองฝ่ายเหนือเสด็จถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หัวเมืองฝ่ายใต้เสด็จถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของราษฎร ตลอดจนทรงศึกษาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุในท้องถิ่น ซึ่งทุกแห่งหนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ตามเสด็จพระราชสวามีมิได้ขาด
ในการเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสด็จต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เริ่มจากประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา และประเทศเกาหลี ระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ หลังจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๖ เมษายน ถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๓
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการประชวรพระเนตรกำเริบขึ้น นายแพทย์ประจำพระองค์ที่ถวายการรักษาอยู่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา ถวายคำแนะนำว่า ควรจะให้นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ถวายการตรวจรักษา พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ โดยเสด็จผ่านทางประเทศญี่ปุ่นและประเทศแคนาดา
หลังจากที่ทรงรับการผ่าตัดต้อกระจกในพระเนตรซ้ายและประทับพักฟื้นจนพระอาการกระเตื้องขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเริ่มปฏิบัติ พระราชกรณียกิจโดยการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ตามรายการที่รัฐบาลอเมริกาจัดถวาย และได้เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟพิเศษออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เพื่อเยือนประเทศแคนาดา เป็นการส่วนพระองค์หลังจากนั้น จึงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนี่งก่อนเสด็จนิวัตพระนคร
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกหนแห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศ ในการนี้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทุกประการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ได้อย่างเรียบร้อย และงดงามเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระในตำแหน่งพระบรมราชินีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชทรงเป็นศูนย์รวมของสตรีทั้งชาติที่จะต้องเป็นผู้นำทุกด้าน อาทิ ด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเนืองนิตย์ โดยหัวเมืองฝ่ายเหนือเสด็จถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หัวเมืองฝ่ายใต้เสด็จถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งนี้เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ ความทุกข์ของราษฎร ตลอดจนทรงศึกษาแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุในท้องถิ่น ซึ่งทุกแห่งหนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ตามเสด็จพระราชสวามีมิได้ขาด